วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ข้อสอบเรื่องตาราง mark bit

ออกข้อสอบ ปรนัย (พร้อมเฉลย) 10ข้อ
1.mark 6 bit class A ได้กี่ subnet
a. 2^6 = 64 -2 =62
b. 2^6 = 32 -2 =30
c. 2^6 = 19- 2 =17
d. 2^6 = 24 -2 =22
เฉลย a
2. mark 4 bit class A ได้หมายเลขsubnetอะไร
a. 255.255.194.0
b. 255.194.132.0
c. 255.240.0.0
d. 255.255.255.0
เฉลย c
3. mark 5 bit class B ได้กี่ subnet
a. 2^5 = 25-2=23
b. 2^5 = 32-2=30
c. 2^5 = 45-2=43
d. 2^5 = 57-2=55
เฉลย b
4. mark 6 bit class A ได้เลขhostอะไร
a. 2^18=262144-2=262142
b. 2^21=2097152-2=2097150
C. 2^11=2048-2=2046
D. 2^20=1048576-2=1048574
เฉลย a
5. mark 4 bit class C ได้เล ขsubnetอะไร
a. 255.254.0.0
b. 255.255.255.254
c. 255.255.255.242
d. 255.192.142.0
เฉลย c
6. mark 2 bit class A ได้กี่subnet
a. 2^2 = 64 -2 =62
b. 2^2 = 32 -2 =30
c. 2^2 = 19- 2 =17
d. 2^2 = 4 - 2 =2
เฉลย d
7.mart 5 bit ได้กี่ Subnet ของ Class C
a. 2^5 = 8 - 2 = 6
b. 2^5 = 32 -2 = 30
c. 2^3 = 8 - 2 = 6
d. 2^3 = 10 -2 = 8
เฉลย b
8.mart 4 bit ได้กี่ Host ของ Class A
a.2^4 = 16 - 2 = 14 Host
b.2^4 = 8 - 2 = 6 Host
c.2^20 = 1048576 - 2 = 1048574 Host
d.2^20 = 1048426 - 2 = 1048424 Host
เฉลย c
9. mark 3 bit ได้กี่ Host ของ Class B
a.2^3 = 8 - 2 = 6 Host
b.2^3 = 6 - 2 = 4 Host
c.2^13 = 26 -2 = 24 Host
d.2^13 = 8192 - 2 = 8190 Host
เฉลยd
10.mart 6 bit ได้กี่ Host ของ Class C
a.2^6 = 12 - 2 = 10 Host
b.2^2 = 4 - 2 = 2 Host
c.2^6 = 64 - 2 = 62 Host
d.2^3 = 6 -2 = 4 Host
เฉลย b
ออกข้อสอบ อัตนัย (พร้อมเฉลย) 10
ข้อ1.mark 6 bit ของ Class B ได้กี่ Host
= 2^10 = 1024 - 2 = 1022 Host
2.mark 5 bit Class B หมายเลข Subnet อะไร
=255.255.248.0
3.mark 5 bit ของ Class A ได้กี่ Subnet
= 2^5 = 32 - 2 = 30 Subnet
4.mark 3 bit Class C หมายเลข subnet อะไร
=255.255.255.224
5.mark 7 bit ของ Class C ได้กี่ Subnet
=2^7 = 128 - 2 = 126 Subnet
6.mark 3 bit ของ Class C ได้กี่ Host
=2^5 = 32 -2 = 30 Host
7.mark 6 bit ของ Claass B ได้กี่ subnet
= 2^6 = 64 - 2 = 62 Subnet
8.mark 6 bit Class A หมายเลข Subnet อะไร
=255.252.0
9.mark 5 bit ของ Class A ได้กี่ Host
= 2^19 = 524288 - 2 = 524286 Host
10.mark 6 bit Class A หมายเลข Subnet อะไร
=255.252.0.0
Ethernet
EthernetความหมายของIEEE 802.3IEEE 802.3 หรือ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็นเครือข่ายที่มีความเร็วสูงการส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาทีสถานีในเครือข่ายอาจมีโทโปโลยีแบบัสหรือแบบดาว IEEE ได้กำหนดมาตรฐานอีเทอร์เน็ตซึ่งทำงานที่ความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาทีไว้หลายประเภทตามชนิดสายสัญญาณเช่น• 10Base5 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา (Thick Ethernet)ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 500 เมตร• 10Base2 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอ๊กเชียลแบบบาง (Thin Ethernet) ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 185 เมตร• 10BaseT อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบดาวซึ่งใช้ฮับเป็นศูนย์กลาง สถานีและฮับเชื่อมด้วยสายยูทีพี (Unshield Twisted Pair) ด้วยความยาวไม่เกิน 100 เมตรรูปที่ข้างล่าง แสดงถึงลักษณะเครือข่ายอีเทอร์เน็ตแยกตามประเภทของสายสัญญาณ รหัสขึ้นต้นด้วย 10 หมายถึงความเร็วสายสัญญาณ 10 เมกะบิตต่อวินาทีคำว่า “Base” หมายถึงสัญญาณชนิด “Base” รหัสถัดมาหากเป็นตัวเลขหมายถึงความยาวสายต่อเซกเมนต์ในหน่วยหนึ่งร้อยเมตร (5=500, 2 แทนค่า 185) หากเป็นอักษรจะหมายถึงชนิดของสาย เช่น T คือ Twisted pair หรือ F คือ Fiber opticsส่วนมาตรฐานอีเทอร์เน็ตความเร็ว 100 เมกกะบิตต่อวินาทีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่100BaseTX และ 100BaseFX สำหรับอีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบกิกะบิตอีเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างของมาตรฐานกิกะบิตอีเทอร์เน็ตในปัจจุบันได้แก่ 100BaseT, 100BaseLX และ 100BaseSX เป็นต้น อีเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล ซีเอสเอ็มเอ/ซีดี (CSMA/CD : Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) เป็นตัวกำหนดขั้นตอนให้สถานีเข้าครอบครองสายสัญญาณ ในขณะเวลาหนึ่งจะมีเพียงสถานีเดียวที่เข้าครองสายสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลสถานีที่ต้องการส่งข้อมูลต้องการตรวจสอบสายสัญญาณว่ามีสถานีอื่นใช้สายอยู่หรือไม่ ถ้าสายสัญญาณว่างก็ส่งข้อมูลได้ทันที หากไม่ว่างก็ต้องคอยจนกว่าสายสัญญาณว่างจึงจะส่งข้อมูลได้ ขณะที่สถานีหนึ่ง ๆ กำลังส่งข้อมูลก็ต้องตรวจสอบสายสัญญาณไปพร้อมกันด้วยเพื่อตรวจว่าในจังหวะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นมีสถานีอื่นซึ่งพบสายสัญญาณว่างและส่งข้อมูลมาหรือไม่ หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นแล้ว ข้อมูลจากทั้งสองสถานีจะผสมกันหรือเรียกว่า การชนกัน (Collision) และนำไปใช้ไม่ได้ สถานีจะต้องหยุดส่งและสุ่มหาเวลาเพื่อเข้าใช้สายสัญญาณใหม่ ในเครือข่ายอีเทอร์เน็ตที่มีสถานีจำนวนมากมักพบว่าการทานจะล่าช้าเพราะแต่ละสถานีพยายามยึดช่องสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลและเกิดการชนกันเกือบตลอดเวลา โดยไม่สามารถกำหนดว่าสถานีใดจะได้ใช้สายสัญญาณเมื่อเวลาใด อีเทอร์เน็ตจึงไม่มีเหมาะกับการใช้งานในระบบจริง2.10 Base 210 Base 2 เป็นรูปแบบต่อสายโดยใช้สาย Coaxialมีเส้นศูนย์กลาง 1/4 นิ้ว เรียกว่า Thin Coaxial สายจะมีความยาวไม่เกิน 180 เมตรมาตรฐาน 10 Base 2 ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Baseคือการส่งข้อมูลแบบ Baseband 2 คือความยาวสูงสุด 200 เมตร (185 – 200 เมตร ) 10 Base 2 เป็นแบบเครือข่ายที่ใช้สาย Coaxial แบบบาง (Thin Coaxial) ชนิด RG-58 A/U โดยจะมี Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่ายข้อกำหนดของ 10 Base 2• ใช้สาย Thin Coaxial ชนิด RG-58 A/U• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือ หัว BNC• ห้ามต่อหัว BNC เข้ากับ LAN Card โดยตรง ต้องต่อด้วย T-Connector เท่านั้น• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่าย ต้องปิดด้วย Terminator ขนาด 50 โอมห์• ความยาวของสายแต่ละเส้นที่ต่อระหว่าง Workstation ต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 0.5 เมตร• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 200 เมตร (185 – 200 เมตร )• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 30 เครื่อง• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 30 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater ( ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 1000 เมตร (200 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 150 เครื่อง (30 เครื่องต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)3.10 Base 5ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Base คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband• คือความยาวสูงสุด 500 เมตร 10 Base 5 เป็นแบบเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกับ 10 Base 2แต่จะใช้สาย Coaxial แบบหนา (Thick Coaxial หรือ Back Bone)เป็นสายชนิด RG-8 ซึ่งสายจะเป็นสีเหลืองและมีขนาดใหญ่โดย Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัวและท้ายของเครือข่าย เครือข่ายชนิด 10 Base 5 นี้ จะมีต่อจำนวนเครื่องได้มากกว่าและต่อในระยะได้ไกลกว่าแบบ 10 Base 2 แต่ในปัจจุบันมักไม่นิยมใช้กันเนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ควรทราบ มีดังนี้แผงวงจรเครือข่าย (LAN Card) คือแผงวงจรเครือข่ายที่เสียบไว้กับตัวเครื่อง และเชื่อมต่อด้วยสายเพื่อต่อเป็นเครือข่ายโดยแผงวงจรเครือข่ายนี้จะมีหัวเสียบเป็นชนิด DIX Connector Socket ( LAN Card ) ชนิด AUIใช้กับมาตรฐาน 10 Base 5ข้อกำหนดของ 10 Base 5• ใช้สาย Thick Coaxial ชนิด RG-8• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัว DIX หรือบางทีอาจจะเรียกว่า หัว AUI• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่ายต้องปิดด้วย N-Series Terminator ขนาด 50 โอมห์• ระยะห่างระหว่าง Transceiver ต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร• Transceiver Cable จะมีความยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 100 เครื่อง• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 500 เมตร• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 100 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeaterเพื่อเพิ่มSegment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater (ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 2,500 เมตร (500 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment )• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 500 เครื่อง (100 เครื่องต่อ Segment คูณด้วย 5 Segment )4.100 Base F100Base-Fสาย AMP OSP (Outside Plant) ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการติดตั้งในพื้นที่ขนาดใหญ่เพราะสามารถติดตั้งไว้บนเสาโยง หรือลอดท่อใต้ดิน เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคาร สายถูกทดสอบตามมาตรฐาน TIA ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับสายไฟเบอร์ออปกติ ทั้งยังมีคุณสมบัติเกินมาตรฐานไปอีกขั้นจึงรองรับได้ทั้ง 100Base-F, 155/622 Mbps ATM และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต5.100BASE-FX 100BASE-FX Multimode LC SFP Transceiver(P/N: DEM-211) มอบประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงให้กับแอพพลิเคชันการสื่อสารข้อมูลแบบซีเรียลออพติคัลดาต้า นอกจากนั้นยังประกอบด้วยตัวเชื่อมต่อที่มีการทำงานแบบดูเพล็กซ์ LC รวมถึงยังสามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐานการสื่อสารแบบ IEEE 802.3u เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเป็น 100 เมกะบิตต่อวินาที ในโหมดฮาฟดูเพล็กซ์สำหรับแอพพลิเคชันเคเบิลไฟเบอร์ทั้งนี้การอินทริเกรทตัวรับส่งคุณภาพสูงของดีลิงค์นั้นก็เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นปราศจากอาการกระตุกของสัญญาณ และเพื่อให้การเชื่อมต่อแบบออพติคัลสามารถขยายออกไปได้มากยิ่งขึ้นโดยไม่มีการลดประสิทธิภาพลง อุปกรณ์นี้จึงช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะทางที่ไกลๆ ทั้งในส่วนของการใช้งานภายในอาคาร โรงงาน แคมปัสและในตัวเมืองมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น และเมื่อสวิตช์ 2 ตัวมีการเชื่อมต่อกันแล้วโดยใช้ตัวรับส่ง DEM-211 ทั้ง 2 ทาง ผู้ใช้งานจะได้รับอัตราเร็วของการเชื่อมต่อที่ระดับ 155 เมกะบิตต่อวินาที ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มอบการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์ออพติค 100BASE-FX SFP บนพอร์ต Gigabit combo SFP ให้กับสวิตช์ของดีลิงค์อีกด้วย

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การบ้านเรียนวันที่ 11 มิถุนายน

Basic’s IP AddressIP Address
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IP Address ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อย พีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส คำว่าไอพีแอดเดรส จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บน อินเทอร์เน็ต ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัสประจำตัวของเครื่องที่ใช้ ตั้งแต่พีซี ของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลยทั่วโลก ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์11101001110001100000001001110100แต่เมื่อต้องการเรียกไอพีแอดเดรสจะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขไบนารี หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น11001011100101110010111000010011203 .151 .46 .19เมื่อตัวเลขไอพีแอดเดรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้ไอพีแอดเดรสเริ่มหายากขึ้นการกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรสและมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กรเรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส Cคลาส A กำหนดตัวเลขในฟิลด์แรกเพียงฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นจึงมีไอพีแอดเดรสในองค์กรเท่ากับ 256 x 256 x 256คลาส B กำหนดตัวเลขให้ สองฟิลด์ ที่เหลืออีกสองฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นองค์กรจึงมีไอพีแอดเดรส ที่กำหนดได้ถึง 256 x 256 = 65536 แอดเดรสคลาส C กำหนดตัวเลขให้สามฟิลด์ที่เหลือให้องค์กรกำหนดได้เพียงฟิลด์เดียว คือมีไอพีแอดเดรส 256เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรสหากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส Aดังนั้นคลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B เช่น ไอพีแอดเดรสของกรมราชทัณฑ์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส Cลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งาน แต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวนหมายเลขที่ได้รับเช่นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่ายสำหรับกรมราชทัณฑ์ที่มีไอพีคลาสซี จึงได้แบ่งและจัดสรรไอพีแอดเดรสให้กับหน่วยงานต่างๆได้อย่างพอเพียงไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรจะได้รับการควบคุทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรส ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้นมิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้มการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่งไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรสสำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสทุกแอดเดรสที่ใช้ใน กลุ่ม เช่น การเซตให้กับพีซีแต่ละเครื่องต้องไม่ซ้ำกัน รหัสไอพีแอดเดรสจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีค่าสำหรับองค์กรหากองค์กร เรามีไอพีแอดเดรสไม่พอ หรือขาดแคลนไอพีแอดเดรสจะทำอย่างไร เช่นมหาวิทยาลัย ก. เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แต่ได้คลาส C ซึ่งมีเพียง 256 แอดเดรสแต่มีผู้ที่จะใช้ไอพีแอดเดรสเป็นจำนวนมากสิ่งที่จะต้องทำคือ มหาวิทยาลัย ก. ยอมให้ภายนอกมองเห็นไอพีแอดเดรสจริงตามคลาส Cนั้น ส่วนภายในมีการกำหนดไอพีแอดเดรสเองโดยที่ไอพีแอดเดรสที่กำหนดจะต้องไม่ปล่อยออกภายนอก เพราะจะซ้ำผู้อื่นผู้ดูแลเครือข่ายต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องเป็นตัวแปลงระหว่างแอดเดรสท้องถิ่น กับแอดเดรสจริงที่จะติดต่อภายนอก วิธีการนี้เรียกว่า NAT = Network Address Translatorซึ่งแน่นอนก็ต้องสร้างความยุ่งยากเพิ่มเติม และทุกแพกเก็ต IP จะมีการแปลงแอดเดรสทุกครั้ง ทั้งขาเข้าและขาออก จึงทำให้ประสิทธิภาพการติดต่อย่อมลดลง ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไอพีแอดเดรสจริงรูปแบบของไอพีแอดเดรส- มีขนาด 32 บิต- ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน- เลขเครือข่าย (network number)- เลขโฮสต์ (host number)- รูปแบบการเขียน “dotted decimal”- แบ่งเป็น 4 ไบต์- คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด (dot)ความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์- เราเตอร์ (Router)- ใช้เลขเครือข่ายเลือกเส้นทางส่ง packet- โฮสต์ที่มี netid ชุดเดียวกัน- จะอยู่เครือข่ายเดียวกัน- สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link- ไม่ต้องใช้เราเตอร์- โฮสต์ที่มี netid ต่างกัน- จะอยู่ต่างเครือข่าย- เราเตอร์จะส่ง packet ข้ามเครือข่ายการจัดคลาสเครือข่ายClass A 0 network host host hostClass B 10 network network host hostClass C 110 network network network hostClass A = 0 – 126Class B = 128 – 191 Class C = 192 -223Class D = 224 – 239 Class E = 240 – 255127 เป็น IP แบบพิเศษการหาจำนวน netid และ hostid- ใช้สูตร 2n- n = จำนวนบิต- network และ host ที่สงวนไว้- network ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหม- host ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมดClass Aจำนวน network = 7 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 27 = 128 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 27-2 = 128 – 2= 126 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 24 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 224 = 16,777,216 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 16,777,216 – 2= 16,777,214 โฮสต์Class B- จำนวน network = 14 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 214 = 16,384 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 214-2 = 16,384 – 2= 16,382 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 16 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 216 = 65,536 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 65,536 – 2= 65,534 โฮสต์Class C- จำนวน network = 21 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 221 = 2,097,152 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 221-2 = 2,097,152 – 2= 2,097,150 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 8 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 28 = 256 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 28-2 = 256 – 2= 254 โฮสต์Default subnet maskClass Netmask Binary netmask ขนาดA 255.0.0.0 11111111.00000000.00000000.00000000 8 บิตB 255.255.0.0 11111111.11111111.00000000.00000000 16 บิตC 255.255.255.0 11111111.11111111.11111111.00000000 24 บิต

basic ‘s datacommunicationCommunication
การย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์เทคโนโลยีสมัยนี้มีการเชื่อมต่อกันทั่วโลกWhy Study Data Communication? เพื่อที่จะได้วิธีการย้ายข้อมูลที่ถูกต้อง และในสมัยก่อนมีความลำบากมากในการสื่อสาร จึงนำมาเป็นตัวแทนในการสื่อสารนิยามการสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล หมายถึง กระบวนการถ่ายทอด หรือการรับ-ส่งข้อมูล จากจุดใดจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ผ่านสื่อชนิดใดๆก็ได้ โดยข้อมูลจะหมายถึง ข้อความ รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ก็ได้ การสื่อสารข้อมูลโดยปกติเกิดขึ้นระหว่าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
แปลง IP
209.123.226.168
11010001 01111011 11100010 10101000
198.60.70.8111000110 00111100 01000110 01010001
CIDR
/22
11111111.11111111.11111100.00000000
Subnet Mask = 255. 255. 252. 0จำนวน
Host = (2^10) - 2 = 1024 - 2 = 1022 Host
/18
11111111.11111111.11000000.00000000
Subnet Mask = 255. 255. 192. 0
จำนวน Host = (2^14) -2 = 16384 -2 = 16382 Host
/27
11111111.11111111.11111111.11100000
Subnet Mask = 255. 255. 255. 240
จำนวน Host = (2^5) – 2 = 32 – 2 = 30 Host

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เรียนวันที่ 11 มิถุยายน 2551

/20??
/20 จงแปลงให้เป็นเลขฐาน 2
11111111.11111111.11110000.00000000
Subnet Mask
/20 (255+255+240+0)
จำนวน Host
2^12 = 4096-2 = 4094

แปลง IT เป็น Binarg

แปลง IT เป็น Binarg
32 bit2
02.29.57.2
11001010.0001101.00111001.00000010
202 เป็น ClassC
29 เป็น ClassC
57 เป็น ClassC
2 เป็น ClassC

แปลง IT เป็น Binarg

32 bit
202.29.57.2
11001010.0001101.00111001.00000010

รายชื่อเพื่อน

From:นายจำนงค์ ศรีมาศ (srimas2007@hotmail.com)http://jumnong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชยาพงษ์ วังตะเคน (mo.04@hotmail.com)http://thekop-momo.blogspot.com^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sulak Phonboon (sulak_laky@hotmail.com)http://sulak-noy.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:khamsan khampang (khampang3@hotmail.com)http://khampang.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ชาตรี แก้วมณี (chatree_05@thaimail.com)http://chatree-ton.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:มยุลี เสมศรี (mayulee8787@hotmail.com)http://mayulee8787.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาว จันทร์ กฤษวี (janjun1@hotmail.com)http://janjun.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นางสาวประภาศิริ สุทธิหนู(nemo_yung@hotmail.com)http://lylulnlgl.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sam an leakmuny (leakmuny@yahoo.com)http://leakmuny-sam.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ณัชพร ไชยมูล (clash_oud@hotmail.com)http://khukhan-bantim.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:วาฤดี สัมนา (waruedee_49@hotmail.com)http://waruedee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:warawood wisetmuen (nicnicnic_02@hotmail.com)http://warawood.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:r y (overnarn@hotmail.com)http://tcomtoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สุพรรษา ท่วาที (supansa_56@hotmail.com)http://puy-supansa.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:อรอุมา พละศักดิ์ (tep_ratree@hotmail.com)http://tepratree.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:สายรุ่ง พงษ์วัน (sayrung_@hotmail.com)http://koraikoo.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ศิริกัญญา ศิริญาณ (tumkatong@gmail.com)http://tumkatong.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:พรพรรณ สังขาว (aaa.37@hotmail.com)http://oake-pornpan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นายเทิดศักดิ์ บุญรินทร์ (ton_therdsak783@hotmail.com)http://tonstaff.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ (nipoon_karn@hotmail.com)http://karnline.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:ทัสนีย์ ประสาร (tatsanee_1234@thaimail.com)http://ningza-tatsanee.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:wasan dujda (nong2445572@hotmail.com)http://newcastle-wasan.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:นิพนธ์ ทรัพย์ประเสริฐ์ (kan-49@hotmail.com)http://teerapon123.blogspot.com/^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^From:sophang sophaly (phangsophaly@hotmail.com)http://sophaly-phang.blogspot.com/

ข้อสอบ OSI Model

1. OSI Model แบ่งย่อยออกเป็นกี่ขั้น
ก. 9 ขั้น
ข. 8ขั้น
ค. 7ขั้น
ง. 6ขั้น
เฉลย ค. 7ขั้น
2. ชั้น Physicalเป็นการอธิบายคุณสมบัติทาง
ก. ทางกายภาพ เช่น คุณสมบัติทางไฟฟ้า และกลไกต่างๆ
ข. เป็นชั้นที่อธิบายถึงการส่งข้อมูลไปบนสื่อกลาง
ค. ให้บริการเชื่อมต่อในแบบ "Connection Oriented"
ง. ในชั้นนี้มีบางโปรดตคอลจะให้บริการที่ค่อนข้างคล้ายกับที่มีในชั้น Network
เฉลย ก. ทางกายภาพ เช่น คุณสมบัติทางไฟฟ้า และกลไกต่างๆ
3. OSI Model หมายถึง
ก. การส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์
ข. เป็นมาตาฐานการส่งข้อมูล
ค. เป็นมาตรฐานอ้างอิงวิธีการในการส่งข้อมูลจาก Computer เครื่องหนึ่งผ่าน Network ไปยัง Computer อีกเครื่องหนึ่ง
ง. การทำงานของคอมพิวเตอร์
เฉลย ค. เป็นมาตรฐานอ้างอิงวิธีการในการส่งข้อมูลจาก Computer เครื่องหนึ่งผ่าน Network ไปยัง Computer อีกเครื่องหนึ่ง
4. โมเดล Transport Layer ทำหน้าที่อะไร
ก. ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร
ข. ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารข้ามเน็ตเวิร์ค
ค. ทำหน้าที่จัดเตรียมข้อมูลที่จะส่งผ่านไปบนสื่อตัวกลาง
ง. ทำหน้าที่ในการจัดการกับเซสชั่นของโปรแกรม
เฉลย ก. ทำหน้าที่ดูแลจัดการเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการสื่อสาร
5. การจัดการติดต่อสื่อสารข้ามเน็ตเวิร์ตเป็นหน้าที่ของโมเดลในข้อใด
ก..Physical Layer ข.Application Layer
ค.Presentation Layer ง.Network Layer
เฉลย ง.Network Layer

http://www.tutor-tan.com/article/detail_article.php?aid=710

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ข้อสอบแอสกี

1.ตัว I เขียนเป็นภาษาแอสกีได้อย่างไร
ก.01001001 ข.10010010
ค.00101001 ง.00001010

2.รหัสแอสกีคืออะไร
ก.มาตรฐานที่มีการกำหนดขึ้น
ข.ข้อมูลของตัวเลข
ค.มาตาฐานการกำหนดรหัสแทนข้อมูลให้เป็นมาตรฐานสากล
ง.จำนวนของข้อมูล

3.จากตารางแอสกีที่ใช้แทนอักขระ10001010จัดอยู่ในเลขฐานใด
ก.เลขฐานสอง
ข. เลขฐานแปด
ค.เลขฐานสิบหก
ง. เลขฐานสิบแปด

เฉยข้อที่1 ตอบ = ก
เฉยข้อที่2 ตอบ = ค
เฉยข้อที่3 ตอบ = ค

แนะนำตัวเอง

ชื่อ นางสาวทัศนีย์ ประสาร โปรแกรมวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์ปปี3
รหัสประจำตัว 4912252133
เบอร์โทรศัพท์ 0879638105
TATSANEE
54,41,54,53,41,4E,45,45
01010100 01000001 01010100 01010011 01000001 01001110 01000101 01000101

PARSAN
50,41,52,53,41,4E
01010000 01000010 01010011 01010100 01000001 01001110

0879638105
91,99,98,9A,97,94,99,92,91,96
10010001 10011001 10011000 10011010 10010111 10010100 10011001 10010010 10010001 10010110