วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

การบ้านเรียนวันที่ 11 มิถุนายน

Basic’s IP AddressIP Address
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ IP Address ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับไอพีแอดเดรส อย่างน้อย พีซีที่ต่ออยู่กับอินเทอร์เน็ตต้องมีการกำหนดไอพีแอดเดรส คำว่าไอพีแอดเดรส จึงหมายถึงเลขหรือรหัสที่บ่งบอก ตำแหน่งของเครื่องที่ต่ออยู่บน อินเทอร์เน็ต ตัวเลขรหัสไอพีแอดเดรสจึงเสมือนเป็นรหัสประจำตัวของเครื่องที่ใช้ ตั้งแต่พีซี ของผู้ใช้จนถึงเซิร์ฟเวอร์ให้บริการอยู่ทั่วโลก ทุกเครื่องต้องมีรหัสไอพีแอดเดรสและต้องไม่ซ้ำกันเลยทั่วโลก ไอพีแอดเดรสที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์11101001110001100000001001110100แต่เมื่อต้องการเรียกไอพีแอดเดรสจะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขไบนารี หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น11001011100101110010111000010011203 .151 .46 .19เมื่อตัวเลขไอพีแอดเดรสจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้ไอพีแอดเดรสเริ่มหายากขึ้นการกำหนดไอพีแอดเดรสเน้นให้องค์กรจดทะเบียนเพื่อขอไอพีแอดเดรสและมีการแบ่งไอพีแอดเดรส ออกเป็นกลุ่มสำหรับองค์กรเรียกว่า คลาส โดยแบ่งเป็น คลาส A คลาส B คลาส Cคลาส A กำหนดตัวเลขในฟิลด์แรกเพียงฟิลด์เดียว ที่เหลืออีกสามฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นจึงมีไอพีแอดเดรสในองค์กรเท่ากับ 256 x 256 x 256คลาส B กำหนดตัวเลขให้ สองฟิลด์ ที่เหลืออีกสองฟิลด์ให้องค์กรเป็นผู้กำหนดดังนั้นองค์กรจึงมีไอพีแอดเดรส ที่กำหนดได้ถึง 256 x 256 = 65536 แอดเดรสคลาส C กำหนดตัวเลขให้สามฟิลด์ที่เหลือให้องค์กรกำหนดได้เพียงฟิลด์เดียว คือมีไอพีแอดเดรส 256เมื่อพิจารณาตัวเลขไอพีแอดเดรสหากไอพีแอดเดรสใดมีตัวเลขขึ้นต้น 1-126 ก็จะเป็นคลาส Aดังนั้นคลาส A จึงมีได้เพียง 126 องค์กรเท่านั้น หากขึ้นต้นด้วย 128-191 ก็จะเป็นคลาส B เช่น ไอพีแอดเดรสของกรมราชทัณฑ์ขึ้นต้นด้วย 158 จึงอยู่ในคลาส B และหากขึ้นต้นด้วย 192-223 ก็เป็นคลาส Cลักษณะการใช้ไอพีแอดเดรสในองค์กรจึงมีวิธีการจัดสรรและกำหนดเพื่อให้ใช้งาน แต่เนื่องจากหลายหน่วยงานติดขัดด้วยจำนวนหมายเลขที่ได้รับเช่นองค์กรขนาดใหญ่ แต่ได้รับคลาส C จึงย่อมสร้างความยุ่งยากในการสร้างเครือข่ายสำหรับกรมราชทัณฑ์ที่มีไอพีคลาสซี จึงได้แบ่งและจัดสรรไอพีแอดเดรสให้กับหน่วยงานต่างๆได้อย่างพอเพียงไอพีแอดเดรสแต่ละกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรจะได้รับการควบคุทำนองเดียวกัน หน่วยงานย่อยรับแอดเดรสไปเป็นกลุ่มก็สามารถนำไอพีแอดเดรส ที่ได้รับไปจัดสรรแบ่งกลุ่มด้วยอุปกรณ์เราเตอร์หรือ สวิตชิ่งได้ การกำหนดแอดเดรสจะต้องอยู่ภายในกลุ่มของตนเท่านั้นมิฉะนั้นอุปกรณ์เราเตอร์จะไม่ สามารถทำงานรับส่งข้อมูลได้มการกำหนดเส้นทางโดยอุปกรณ์จำพวก เราเตอร์ และสวิตชิ่งไอพีแอดเดรสจึงเป็นรหัสหลักที่จำเป็นในการสร้างเครือข่าย เครือข่ายทุกเครือข่ายจะต้องมีการกำหนดแอดเดรสสำนักบริการคอมพิวเตอร์ได้จัดสรรกลุ่มไอพีไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างพอเพียงโดยที่แอดเดรสทุกแอดเดรสที่ใช้ใน กลุ่ม เช่น การเซตให้กับพีซีแต่ละเครื่องต้องไม่ซ้ำกัน รหัสไอพีแอดเดรสจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่มีค่าสำหรับองค์กรหากองค์กร เรามีไอพีแอดเดรสไม่พอ หรือขาดแคลนไอพีแอดเดรสจะทำอย่างไร เช่นมหาวิทยาลัย ก. เป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่แต่ได้คลาส C ซึ่งมีเพียง 256 แอดเดรสแต่มีผู้ที่จะใช้ไอพีแอดเดรสเป็นจำนวนมากสิ่งที่จะต้องทำคือ มหาวิทยาลัย ก. ยอมให้ภายนอกมองเห็นไอพีแอดเดรสจริงตามคลาส Cนั้น ส่วนภายในมีการกำหนดไอพีแอดเดรสเองโดยที่ไอพีแอดเดรสที่กำหนดจะต้องไม่ปล่อยออกภายนอก เพราะจะซ้ำผู้อื่นผู้ดูแลเครือข่ายต้องตั้งเซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องเป็นตัวแปลงระหว่างแอดเดรสท้องถิ่น กับแอดเดรสจริงที่จะติดต่อภายนอก วิธีการนี้เรียกว่า NAT = Network Address Translatorซึ่งแน่นอนก็ต้องสร้างความยุ่งยากเพิ่มเติม และทุกแพกเก็ต IP จะมีการแปลงแอดเดรสทุกครั้ง ทั้งขาเข้าและขาออก จึงทำให้ประสิทธิภาพการติดต่อย่อมลดลง ซึ่งแตกต่างกับการใช้ไอพีแอดเดรสจริงรูปแบบของไอพีแอดเดรส- มีขนาด 32 บิต- ประกอบด้วยเลข 2 ส่วน- เลขเครือข่าย (network number)- เลขโฮสต์ (host number)- รูปแบบการเขียน “dotted decimal”- แบ่งเป็น 4 ไบต์- คั่นแต่ละไบต์ด้วยจุด (dot)ความสำคัญของเลขเครือข่ายและโฮสต์- เราเตอร์ (Router)- ใช้เลขเครือข่ายเลือกเส้นทางส่ง packet- โฮสต์ที่มี netid ชุดเดียวกัน- จะอยู่เครือข่ายเดียวกัน- สื่อสารกันได้โดยใช้เฟรม data-link- ไม่ต้องใช้เราเตอร์- โฮสต์ที่มี netid ต่างกัน- จะอยู่ต่างเครือข่าย- เราเตอร์จะส่ง packet ข้ามเครือข่ายการจัดคลาสเครือข่ายClass A 0 network host host hostClass B 10 network network host hostClass C 110 network network network hostClass A = 0 – 126Class B = 128 – 191 Class C = 192 -223Class D = 224 – 239 Class E = 240 – 255127 เป็น IP แบบพิเศษการหาจำนวน netid และ hostid- ใช้สูตร 2n- n = จำนวนบิต- network และ host ที่สงวนไว้- network ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหม- host ที่มีบิตเป็น “0” และ “1” ทั้งหมดClass Aจำนวน network = 7 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 27 = 128 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 27-2 = 128 – 2= 126 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 24 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 224 = 16,777,216 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 16,777,216 – 2= 16,777,214 โฮสต์Class B- จำนวน network = 14 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 214 = 16,384 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 214-2 = 16,384 – 2= 16,382 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 16 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 216 = 65,536 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 224-2 = 65,536 – 2= 65,534 โฮสต์Class C- จำนวน network = 21 บิต- จำนวนเครือข่ายทั้งหมด = 221 = 2,097,152 เครือข่าย- จำนวนเครือข่ายที่ใช้งานได้ = 221-2 = 2,097,152 – 2= 2,097,150 เครือข่าย- จำนวนโฮสต์ในแต่ละเครือข่าย= 8 บิต- จำนวนโฮสต์ทั้งหมด = 28 = 256 โฮสต์- จำนวนโฮสต์ที่ใช้งานได้ = 28-2 = 256 – 2= 254 โฮสต์Default subnet maskClass Netmask Binary netmask ขนาดA 255.0.0.0 11111111.00000000.00000000.00000000 8 บิตB 255.255.0.0 11111111.11111111.00000000.00000000 16 บิตC 255.255.255.0 11111111.11111111.11111111.00000000 24 บิต

basic ‘s datacommunicationCommunication
การย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้เกิดประโยชน์เทคโนโลยีสมัยนี้มีการเชื่อมต่อกันทั่วโลกWhy Study Data Communication? เพื่อที่จะได้วิธีการย้ายข้อมูลที่ถูกต้อง และในสมัยก่อนมีความลำบากมากในการสื่อสาร จึงนำมาเป็นตัวแทนในการสื่อสารนิยามการสื่อสารข้อมูลการสื่อสารข้อมูล หมายถึง กระบวนการถ่ายทอด หรือการรับ-ส่งข้อมูล จากจุดใดจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ผ่านสื่อชนิดใดๆก็ได้ โดยข้อมูลจะหมายถึง ข้อความ รูปภาพ หรือสัญลักษณ์ก็ได้ การสื่อสารข้อมูลโดยปกติเกิดขึ้นระหว่าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป
แปลง IP
209.123.226.168
11010001 01111011 11100010 10101000
198.60.70.8111000110 00111100 01000110 01010001
CIDR
/22
11111111.11111111.11111100.00000000
Subnet Mask = 255. 255. 252. 0จำนวน
Host = (2^10) - 2 = 1024 - 2 = 1022 Host
/18
11111111.11111111.11000000.00000000
Subnet Mask = 255. 255. 192. 0
จำนวน Host = (2^14) -2 = 16384 -2 = 16382 Host
/27
11111111.11111111.11111111.11100000
Subnet Mask = 255. 255. 255. 240
จำนวน Host = (2^5) – 2 = 32 – 2 = 30 Host

ไม่มีความคิดเห็น: